สมาร์ททีวีและความเสี่ยงด้านความปลอดภัย สมาร์ททีวีเป็นศูนย์กลางของระบบความบันเทิงภายในบ้านในยุคนี้
มาพร้อมความสามารถในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, การใช้บริการสตรีมมิ่ง และฟีเจอร์ขั้นสูงอย่างคำสั่งเสียง ทำให้ผู้ใช้สามารถรับชมภาพยนตร์หรือรายการโปรดได้ทุกเวลา ทุกที่ อย่างสะดวกสบาย
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยพบว่าสมาร์ททีวีเหล่านี้มี ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ซ่อนอยู่ ซึ่งผู้ใช้งานส่วนใหญ่อาจไม่รู้ตัว รายงานล่าสุดจากองค์กรผู้บริโภคของสหราชอาณาจักร “Which?” ได้ชี้ให้เห็นช่องโหว่หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง การสนับสนุนด้านซอฟต์แวร์ที่มีระยะเวลาจำกัด และ การถูกโจมตีโดยแฮกเกอร์
ซอฟต์แวร์ของสมาร์ททีวีจะไม่ได้รับการอัปเดตนานนัก
การอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยปิดช่องโหว่ความปลอดภัยต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม รายงานจาก Which? ระบุว่า สมาร์ททีวีส่วนใหญ่มักได้รับการอัปเดตเพียง 2-3 ปีหลังเปิดตัวเท่านั้น
แบรนด์ยอดนิยมอย่าง Sony, LG และ Samsung มักจะให้การสนับสนุนอัปเดตไม่เกิน 3 ปี หมายความว่า หากคุณซื้อทีวีในช่วงลดราคาต้นปี 2022 ตอนนี้อาจจะไม่มีการอัปเดตแล้ว และตกอยู่ในความเสี่ยงของมัลแวร์หรือการแฮก
แฮกเกอร์สามารถโจมตีสมาร์ททีวีได้อย่างไร
สมาร์ททีวีสามารถถูกโจมตีได้ เนื่องจากเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและมีฟีเจอร์ต่าง ๆ อย่างกล้องหรือไมโครโฟน โดยสมาร์ททีวีหลายรุ่นใช้ระบบปฏิบัติการคล้ายกับสมาร์ทโฟน (โดยเฉพาะ Android) จึงเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ได้ง่าย
ตัวอย่างเหตุการณ์จริง:
- ปี 2017: พบมัลแวร์ FLocker ที่สามารถเก็บข้อมูลผู้ใช้จากทีวี Android เช่น ตำแหน่ง เบอร์โทรศัพท์ รูปภาพ แล้วส่งให้แฮกเกอร์ใช้ในอาชญากรรมอย่างการขโมยข้อมูลส่วนตัว
- ปี 2013: พบ bot ขโมยรหัสผ่านจากสมาร์ททีวีและอุปกรณ์อื่น ๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ที่ใช้รหัสผ่านซ้ำกัน
- ปี 2018: Consumer Reports ตรวจพบช่องโหว่ในทีวี Samsung และ TCL ที่เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์ควบคุมทีวีระยะไกล เช่น เปลี่ยนช่อง เพิ่มเสียง หรือถอดการเชื่อมต่อ Wi-Fi
- FTC สหรัฐฯ เคยสั่งปรับ Vizio เป็นเงิน $2.2 ล้าน ฐานละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ โดยแอบติดตามพฤติกรรมการรับชมและขายข้อมูลให้โฆษณา
นอกจากนี้ สมาร์ททีวีจำนวนมากยัง ส่งข้อมูลการใช้งานกลับไปยังผู้ผลิต ซึ่งผู้ใช้มักไม่รู้ตัวเพราะข้อมูลนี้มักซ่อนอยู่ใน “เงื่อนไขการใช้งาน”
วิธีตรวจสอบว่าสมาร์ททีวีของคุณถูกแฮกหรือไม่
หากสมาร์ททีวีของคุณถูกเจาะระบบ อาจมีอาการดังนี้:
- มีโฆษณาหรือข้อความเด้งขึ้นมาเอง
- เครื่องทำงานช้าผิดปกติ
- พบแอปไม่คุ้นเคยติดตั้งอยู่
- การตั้งค่าถูกเปลี่ยนโดยไม่รู้ตัว
- รีโมตควบคุมไม่ตอบสนอง
วิธีเพิ่มความปลอดภัยให้สมาร์ททีวีของคุณ
คุณสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้:
- เปิดใช้งานการอัปเดตอัตโนมัติ
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเปิดฟีเจอร์อัปเดตซอฟต์แวร์เสมอ เพื่อรับการป้องกันล่าสุด - รักษาความปลอดภัยของเครือข่ายบ้าน
ใช้รหัสผ่าน Wi-Fi ที่รัดกุม และอัปเดตเฟิร์มแวร์เราเตอร์บ่อย ๆ แนะนำให้ใช้ VPN เพื่อเข้ารหัสทราฟฟิกให้ปลอดภัยมากขึ้น - ปิดใช้งานฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น
เช่น กล้องหรือไมโครโฟนเมื่อไม่ได้ใช้งาน (บางคนเลือกใช้เทปปิดกล้องเพื่อความมั่นใจ) - เลือกดาวน์โหลดแอปอย่างระมัดระวัง
อย่าดาวน์โหลดแอปจากแหล่งที่ไม่เชื่อถือได้ - ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้รัดกุม
เข้าไปปรับการตั้งค่าการเก็บข้อมูลในระบบ และตรวจสอบนโยบายความเป็นส่วนตัวของผู้ผลิต
เสริมเกราะให้เครือข่ายของคุณด้วย WatchGuard
แม้คุณจะดูแลสมาร์ททีวีของคุณเป็นอย่างดี แต่หากอุปกรณ์อื่น ๆ ในบ้านมีช่องโหว่ ก็ยังเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงได้อยู่ดี โซลูชันอย่าง WatchGuard Firebox สามารถช่วย:
- ป้องกันการเข้าถึงจากผู้ไม่หวังดี
- ตรวจจับพฤติกรรมต้องสงสัยจากอุปกรณ์ IoT ทั้งหมด รวมถึงสมาร์ททีวี
- กรองเว็บไซต์หรือบริการที่เป็นภัยคุกคาม
- รองรับการตั้งค่า VPN เพื่อความปลอดภัยระดับองค์กร
ด้วยการใช้งาน WatchGuard คุณจะสามารถควบคุมระบบเครือข่ายทั้งหมดในบ้านหรือสำนักงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
สมาร์ททีวีเปลี่ยนวิธีการรับชมความบันเทิงของเราให้สะดวกสบายขึ้นมาก แต่ก็ต้องแลกมากับ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ผู้ใช้จึงควรระมัดระวังมากขึ้น และ ใช้โซลูชันความปลอดภัยอย่าง WatchGuard เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอุปกรณ์ในบ้านเชื่อมต่ออย่างปลอดภัยในทุกเวลา
WatchGuard Cloud ช่วยให้คุณจัดการและรายงานความปลอดภัยของคุณจากแพลตฟอร์มที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพเพียงแพลตฟอร์มเดียว ไม่ว่าคุณต้องการลดหรือขจัดต้นทุนโครงสร้างพื้นฐาน การตั้งค่าของคุณ ลดความซับซ้อนของเครื่องมือการจัดการความปลอดภัยของคุณ หรือเพิ่มการมองเห็นเครือข่ายของคุณมากขึ้น WatchGuard Cloud สามารถช่วยได้หากท่านสนใจทดลองใช้สามารถ ลงทะเบียนเพื่อขอทดลองได้ฟรี 30 วัน
Credit https://www.watchguard.com