AI ไม่ได้มาแย่งงานคุณ — แต่มาเป็น “ผู้ช่วยคนใหม่” ของคุณต่างหาก
เมื่อเราก้าวเข้าสู่ยุคที่แชตบอตอย่าง ChatGPT, Gemini หรือ Copilot กลายเป็น “ผู้ช่วยประจำโต๊ะทำงาน” การใช้ AI ก็เริ่มแทรกซึมในทุกมุมของชีวิตการทำงาน — ตั้งแต่สรุปประชุม เขียนเอกสาร คิดไอเดีย ไปจนถึงช่วยแก้ปัญหาทางเทคนิคแบบทันทีทันใด
และยิ่งเราพึ่งพา AI มากขึ้นเท่าไร สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตจากการใช้งานจริงตลอดหลายเดือนคือ
ข้อมูลสำคัญของเราไม่เคยอยู่ในที่เดิมอีกต่อไป
ครั้งหนึ่งไฟล์งานอยู่ในเซิร์ฟเวอร์องค์กร แต่วันนี้ไฟล์เดียวกันอาจถูกป้อนเข้า
- แชตบอต
- แอปจดบันทึก
- บริการคลาวด์
- API ต่อออกไปอีกหลายชั้น
AI ทำให้เรามี “ผู้ช่วยเพิ่มขึ้น”
แต่ก็ทำให้ “ผนังความปลอดภัยเดิม” ถูกขยายออกไปแบบที่ไม่รู้ตัว
นี่คือจุดที่ผมเห็นชัดขึ้นหลังเริ่มใช้ AI เต็มรูปแบบ — ระบบความปลอดภัยที่พึ่งไฟร์วอลล์หรือแอนติไวรัสธรรมดาไม่พออีกต่อไป
AuthPoint — ผู้ช่วยอีกคนที่คอยยืนยันว่า “ใช่คุณจริง ๆ หรือเปล่า”
ผมเคยคิดว่า Multi-Factor Authentication (MFA) เป็นแค่ของพื้นฐาน แต่หลังใช้ AI แบบจริงจัง ผมเริ่มเห็นคุณค่าของมันในบริบทใหม่
ลองคิดตามผมนะครับ:
ทุกครั้งที่เราป้อนข้อมูลสำคัญให้ AI ไม่ว่าจะเป็นโค้ด หรือข้อมูลลูกค้า
สิ่งที่เราต้องมั่นใจจริง ๆ คือ ไม่มีใครแอบเข้ามาในบัญชีเราก่อนที่เราจะป้อนข้อมูลเหล่านั้น
เพราะถ้าคนอื่นเข้ามาได้ก่อน แม้เพียงครั้งเดียว
– เขาก็เข้าถึงบัญชีคลาวด์
– เข้าถึงเอกสารที่เราให้ AI วิเคราะห์
– และอาจเข้าถึงโมเดลที่เราใช้ทำงานทุกวัน
AuthPoint จึงทำหน้าที่เป็น “บอดี้การ์ดส่วนตัว” ของคุณกับผู้ช่วย AI ทุกตัวที่ใช้งาน
โดยทำงานในแบบที่ไม่รบกวนชีวิตประจำวัน
แต่คอยตรวจสอบผู้ใช้ทุกครั้งไม่ว่าคุณจะล็อกอินจากที่ทำงาน บ้าน หรือคาเฟ่
มันทำให้ผมอุ่นใจมากขึ้นว่าก่อนที่ผมจะเริ่มบทสนทนากับ AI เพื่อให้มันวิเคราะห์ข้อมูลสำคัญ
เป็นผมจริง ๆ ที่เข้ามา ไม่ใช่ใครก็ไม่รู้
EPDR — เมื่อผู้ช่วย AI ช่วยให้ทำงานไวขึ้น ก็ต้องมีผู้ช่วยด้านความปลอดภัยคอยตรวจตราแบบเรียลไทม์
อีกประเด็นที่ผมไม่ทันคิดตอนเริ่มใช้ AI คือ ไฟล์หรือโค้ดที่ AI ช่วยสร้าง อาจมีช่องโหว่หรือความเสี่ยงแบบที่เราไม่ทันระวัง
ตัวอย่างง่าย ๆ จากงานจริงของผม:
- ผมให้ AI สร้างสคริปต์
- ผมให้มันช่วยแก้ปัญหา coding
- ผมให้มันสรุปไฟล์ที่ดาวน์โหลดจากลูกค้า
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก — จนบางครั้งผมลืมตรวจสอบความปลอดภัยในขั้นตอนสุดท้าย
ตอนนี้เองที่ผมเห็นประโยชน์ของ WatchGuard EPDR อย่างชัดเจน
เพราะมันทำงานในแบบที่ “คนทำงานเร็ว ๆ อย่างผมลืมทำ”
EPDR ไม่ใช่แค่แอนติไวรัส แต่มันเป็นระบบ
Endpoint Protection + Endpoint Detection & Response
ที่ตรวจจับพฤติกรรมเสี่ยงของไฟล์ สคริปต์ หรือกิจกรรมที่เกิดขึ้นจากการใช้ AI โดยตรง
ตัวอย่างสถานการณ์ที่ EPDR ช่วยผมจริง ๆ:
- ไฟล์ที่ AI สรุปหรือแนะนำให้ดาวน์โหลด มีโค้ดฝังมาด้วย
- สคริปต์ที่ AI แนะนำให้ปรับแก้อาจเรียกใช้ฟังก์ชันที่ไม่ปลอดภัย
- เอกสารลูกค้าที่ให้ AI วิเคราะห์มีมาโครอันตรายแฝงอยู่
- ผมทำงานจากเครือข่ายสาธารณะและลืมเปิด VPN
ในทุกเหตุการณ์ EPDR จะเป็นเหมือน “ผู้ช่วยด้านความปลอดภัย” ที่ตรวจสอบให้ทันที
โดยที่ผมไม่ต้องนึกถึงมันเลยด้วยซ้ำ
ถ้า AI เป็นผู้ช่วยเร่งงาน
EPDR คือผู้ช่วยที่รับประกันว่างานนั้นปลอดภัยก่อนส่งต่อเข้าสู่ระบบองค์กร
เมื่อ AI เป็นผู้ช่วยการทำงานใหม่ของคุณ
AuthPoint + EPDR คือผู้ช่วยด้านความปลอดภัยที่จำเป็นต้องมีควบคู่กัน
ผมมองแบบนี้หลังใช้มาทั้งหมดหลายเดือน:
- AI ทำให้เราเร็วขึ้น
- แต่ถ้าความเร็วแลกมาด้วยความเสี่ยง นั่นไม่ใช่ “การทำงานที่ฉลาดขึ้น” เลย
- AuthPoint ช่วยป้องกันความเสี่ยงจาก “ใครเข้ามา”
- EPDR ป้องกันความเสี่ยงจาก “ไฟล์หรือโค้ดที่เราเปิดใช้งาน”
และทั้งคู่ทำงานเงียบ ๆ อยู่เบื้องหลัง
เหมือนเลขาอีกคนที่ดูแลความปลอดภัยแทนเราโดยไม่ต้องสั่ง
ในยุคที่แชตบอต AI เป็นผู้ช่วยที่ทุกคนเข้าถึงได้
ความปลอดภัยก็ต้องเข้าถึงง่าย พึ่งพาได้ และฉลาดตามไปด้วยเช่นกัน
WatchGuard จึงไม่ได้มาแทน AI แต่ทำให้การใช้ AI “มั่นใจได้มากกว่าเดิม”
📞 ติดต่อเราเพื่อ Demo
📧 หรือขอใบเสนอราคาพิเศษวันนี้! หากท่านสนใจทดลองใช้สามารถ ลงทะเบียนเพื่อขอทดลองได้ฟรี 30 วัน
Credit https://www.watchguard.com

