วิธีการตรวจสอบ และอุดช่องโหว่ขั้นพื้นฐาน

วิธีการตรวจสอบ และอุดช่องโหว่ขั้นพื้นฐาน ที่เราอยากแนะนำแนวทางปฏิบัติและวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดสำหรับการประเมินช่องโหว่ต่างๆ

ช่องโหว่เป็นเรื่องปกติสำหรับทุกธุรกิจ และผู้โจมตีเองก็มีเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนสูงมากขึ้น ทำให้จำเป็นอย่างยิ่งที่ธุรกิจจะต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมก่อนที่จะสายเกินแก้ วันนี้เราจะมาดูขั้นตอนการประเมินช่องโหว่ว่ามีกันกี่แบบ กี่ประเภท มีความสำคัญอย่างไร และสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างไร

ช่องโหว่คืออะไร?
ช่องโหว่คือจุดที่หละหลวมในการรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้ระบบมีจุดอ่อนที่สามารถถูกโจมตีสร้างความเสียหายจากผู้โจมตีทางไซเบอร์ ช่องโหว่ต้องได้รับการแก้ไขทันทีที่ค้นพบก่อนที่อาชญากรไซเบอร์จะฉวยโอกาสและใช้ประโยชน์จากช่องโหว่เหล่านั้น

ช่องโหว่มีกี่ประเภท ?
ช่องโหว่สามารถมีได้หลายประเภท และสามารถพบได้ใน

  • ซอฟต์แวร์: ส่วนมากอยู่ในรูปแบบรหัส หรือการออกแบบของโปรแกรม สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ผู้โจมตีสามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกล ดำเนินการที่ผิดกฎหมาย หรือเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนได้
  • ฮาร์ดแวร์: ข้อผิดพลาดในการออกแบบอุปกรณ์ เช่น สมาร์ทโฟน แล็ปท็อป และเครื่องอื่นๆ ที่ทำให้ผู้คุกคามสามารถเข้าถึงข้อมูลหรือทรัพยากรที่ละเอียดอ่อนได้
  • เครือข่าย: จุดอ่อนในโปรโตคอลเครือข่าย สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ผู้โจมตีสามารถสกัดกั้นข้อมูลที่ส่งผ่านอินเทอร์เน็ต หรือดักฟังการสนทนาทางอีเมลได้

วิธีการตรวจสอบหาช่องโหว่ในระบบ
ช่องโหว่ของระบบหรือเครือข่ายประเภทต่างๆ สามารถตรวจพบได้จากการประเมินหาช่องโหว่ ซึ่งหมายความว่าต้องมีเครื่องมือในการตรวจสอบ และขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อค้นหาช่องโหว่ ภัยคุกคาม และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

  • การสแกนตามเครือข่าย: การสแกนประเภทนี้ ช่วยในการระบุช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นในเครือข่ายแบบที่ใช้สาย lan และ wireless
  • การประเมินฐานข้อมูล: เพื่อหยุดการโจมตีที่เป็นอันตราย เช่น การปฏิเสธการให้บริการแบบกระจาย (DDoS), การแทรก SQL, การใช้ brute force และช่องโหว่เครือข่ายอื่น ๆ การประเมินนี้เกี่ยวข้องกับการค้นหาช่องว่างด้านความปลอดภัยในฐานข้อมูล
  • การสแกนแอปพลิเคชัน: มีจุดประสงค์เพื่อระบุช่องโหว่ที่พบในเว็บแอปพลิเคชัน และโค้ดของแอปพลิเคชัน โดยเริ่มต้นการสแกนอัตโนมัติที่แบบละเอียดรวมถึงการวิเคราะห์ซอร์ดโค้ดแบบไดนามิค
  • การประเมินตามโฮสต์: การวิเคราะห์ประเภทนี้จะมองหาช่องโหว่หรืออันตรายใดๆ ในเซิร์ฟเวอร์เวิร์กสเตชันและไซต์เครือข่ายอื่นๆ นอกจากนี้ยังนำมาซึ่งการวิเคราะห์พอร์ตอย่างระมัดระวัง

ขั้นตอนในการตรวจสอบหาช่องโหว่
ในการประเมินหรือวิเคราะห์ช่องโหว่อย่างมีประสิทธิภาพ คุณต้องคำนึงถึงสี่ขั้นตอนต่อไปนี้

ขั้นตอนที่ 1 กำหนดขอบเขตของการทดสอบ และมีการวางแผนรับมือ
ก่อนเริ่มการประเมินช่องโหว่ ต้องกำหนดวิธีการที่ชัดเจนก่อน

  • กำหนดตำแหน่งของที่เก็บข้อมูลที่ละเอียดอ่อนที่สุดของคุณ
  • ตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่ไม่ชัดเจน
  • รู้จักเซิร์ฟเวอร์โฮสต์แอปพลิเคชันสำคัญ
  • ตัดสินใจว่าจะเข้าถึงเครือข่าย และระบบใด
  • ตรวจสอบพอร์ต และกระบวนการทั้งหมดเพื่อหาข้อผิดพลาดในการตั้งค่า
  • สร้างแผนผังด้านไอที สินทรัพย์ดิจิทัล และฮาร์ดแวร์ทั้งหมดที่กำลังใช้งาน

ขั้นตอนที่ 2: สแกนและระบุช่องโหว่
โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของคุณควรได้รับการสแกนช่องโหว่ รวบรวมรายการที่ครอบคลุมของภัยคุกคามความปลอดภัยทั้งหมดที่มีอยู่ เพื่อให้ขั้นตอนนี้เสร็จสมบูรณ์ คุณต้องดำเนินการทั้งการสแกนช่องโหว่อัตโนมัติ และมีการทดสอบการเจาะระบบภายใน เพื่อตรวจสอบผลลัพธ์และลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด

ขั้นตอนที่ 3: วิเคราะห์ และจัดลำดับความสำคัญของช่องโหว่ที่พบ
เครื่องมือสแกนจะให้รายงานอย่างละเอียดพร้อมการจัดอันดับความเสี่ยงและคะแนนความเสี่ยงต่างๆ

เครื่องมือส่วนใหญ่กำหนดคะแนนโดยใช้ CVSS (ระบบการให้คะแนนช่องโหว่ทั่วไป) คะแนนเหล่านี้สามารถใช้วิเคราะห์เพื่อดูว่าช่องโหว่ใดต้องได้รับการแก้ไขก่อน สามารถจัดลำดับความสำคัญตามสิ่งต่างๆ เช่น ความรุนแรง ความฉับไว ความเสี่ยง และอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

ขั้นตอนที่ 4: การแก้ไข และลดความเสียหายจากผลกระทบ
หลังจากดำเนินการตามขั้นตอนก่อนหน้านี้ คุณจะมีข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นในการดำเนินการกับช่องโหว่ มีสองวิธีที่คุณสามารถทำได้ โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของช่องโหว่: การแก้ไขและลดความเสียหาย

เพื่อจัดการกับช่องโหว่ทั้งหมดจำเป็นต้องมีการแก้ไข สามารถทำได้โดยการติดตั้งเครื่องมือรักษาความปลอดภัยตั้งแต่จุดแรกคือการอัปเดตผลิตภัณฑ์

เมื่อไม่มีวิธีที่เหมาะสมในการแก้ไขหรือแพตช์ช่องโหว่ ระบบจะใช้กระบวนการลดความเสียหาย สิ่งนี้จะช่วยลดโอกาสในการโจมตีจนกว่าจะสามารถแก้ไขได้

ขั้นตอนสุดท้าย: ทำซ้ำ
เราระบุเอาไว้ว่ามีเพียงสี่ขั้นตอนในการประเมินช่องโหว่ แต่การทำให้บริษัทของคุณปลอดภัยนั้นต้องทำอย่างต่อเนื่อง ช่องโหว่อาจปรากฏขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ และโซลูชันชั่วคราวหรือแบบเก่าอาจล้าสมัย เนื่องจากผู้คุกคามคอยค้นหาวิธีเจาะระบบของคุณด้วยเหตุนี้จึงต้องทำการประเมินช่องโหว่อย่างสม่ำเสมอ

วิธีการตรวจสอบ และอุดช่องโหว่ขั้นพื้นฐาน สรุป

เราทราบดีว่าการป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไข ดังนั้นคุณอาจใช้การแพตช์และอัปเดตอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สินทรัพย์ดิจิทัลของคุณปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม การทำตามขั้นตอนด้วยตนเองซ้ำแล้วซ้ำอีกนั้นใช้เวลานาน ยุ่งยาก และน่าเบื่อ Heimdal® Patch & Asset Management สามารถช่วยป้องกัน และสนับสนุนการจัดการช่องโหว่อย่างต่อเนื่องแบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้องค์กรของคุณสามารถตรวจพบช่องโหว่ และทำการวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการแพตช์ช่องโหว่เหล่านั้น เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานของคุณปลอดภัย

หากสนใจสามารถขอทดลองใช้ฟรี 60 วัน ครบทุกฟีเจอร์ ไม่มีกั๊ก ไม่มีเงื่อนไขผูกมัดใด ๆ ทั้งสิ้น คลิก

Credit https://heimdalsecurity.com/

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *