บัญชีออนไลน์ของคุณยังปลอดภัยอยู่หรือไม่ ?

บัญชีออนไลน์ของคุณยังปลอดภัยอยู่หรือไม่

บัญชีออนไลน์ของคุณยังปลอดภัยอยู่หรือไม่ ? การแฮกเข้าบัญชี เป็นการขโมยบัญชีที่มีเพื่อใช้งานในด้านอาชญากรรม ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ข้อมูลประจำตัวของผู้อื่นเพื่อซื้อสินค้า ทำธุรกรรมฉ้อโกง หรือขโมยข้อมูล

ช่องทางยอดนิยมที่ใช้ในการโจมตีบัญชี

  • การโจมตีซ้ำของมัลแวร์
  • เทคนิคทางจิตวิทยาสังคม (แอบอ้างเพื่อล้วงข้อมูล)
  • การโจมตีโดยใช้วิธีคนกลาง (เกิดขึ้นเมื่อมีคนดักเก็บข้อมูลอยู่อยู่ระหว่างคอมพิวเตอร์สองเครื่อง)
  • การเจาะข้อมูลรับรอง (พยายามล็อกอินตรวจสอบ Credentials ที่ได้มาจากการขโมยหรือซื้อมา)
  • การสุ่มข้อมูลรับรอง (พยายามล็อกอินเพื่อใช้ Username และ Password ผสมกันไปจนกว่าจะถูกต้อง)

  1. การโจมตีซ้ำของมัลแวร์

    มัลแวร์เป็นที่ชื่นชอบของแฮกเกอร์ เมื่ออุปกรณ์ของคุณติดไวรัส อาชญากรไซเบอร์สามารถใช้เวิร์มเพื่อขโมยข้อมูลรับรองการเข้าสู่ระบบหรือใช้เป็นช่องทางในการโจมตีซ้ำ ผู้โจมตีจะดักจับข้อมูล HTTP ที่ถ่ายโอนจากเครือข่ายของคุณไปยังสถาบันการเงิน

    วิธีการตรวจสอบ

    – ประสิทธิภาพของระบบลดลง
    – มีทราฟฟิคเพิ่มขึ้นอย่างน่าสงสัย
    – ข้อความแสดงข้อผิดพลาดที่ไม่คุ้นเคย
    – อีเมลแปลก ๆ ที่ส่งมาจากบัญชีของคุณ
    – โฆษณา หรือป๊อปอัปที่ผิดปกติ
  2. เทคนิคทางจิตวิทยาสังคม


    แฮกเกอร์มักใช้เทคนิคทางจิตวิทยาสังคมเพื่อหลอกให้ผู้อื่น โดยปลอมตัวเป็นสถาบันที่น่าเชื่อถือแอบอ้างติดต่อ สร้างความสัมพันธ์ เพื่อหลอกให้ได้ข้อมูลส่วนบุคคล

    วิธีการตรวจสอบ

    – อีเมลหรือข้อความที่ไม่พึงประสงค์
    – การชำระเงิน หรือคำขอข้อมูลที่น่าสงสัย
    – การสอบถามลูกค้าเพื่อนำไปปรับปรุงการบริการที่ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือ
  3. การโจมตีโดยใช้วิธีคนกลาง

    เช่นเดียวกับเทคนิคทางจิตวิทยาสังคม การโจมตีแบบคนกลางอาศัยการหลอกลวงอาชญากรไซเบอร์จะสกัดกั้นการสื่อสารของคุณกับบุคคลที่สามที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ธนาคารหรือซัพพลายเออร์ จากนั้นคุณจะถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังโดเมนที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์ และขอให้ระบุข้อมูลรับรองการเข้าสู่ระบบหรือ PII อื่นๆ

    วิธีการตรวจสอบ

    – ความผิดปกติของ IP, HTTP, DNS หรือ TCP ปรากฏในเซสชัน
    – ความผิดปกติของเวลาแฝงปรากฏในเซสชัน
    – Signature TCP และ HTTP ในเซสชันไม่ตรงกัน
    – มีการระบุเซสชันคู่ขนานที่น่าสงสัย
  4. การเจาะข้อมูลรับรอง

    แฮกเกอร์พยายามเข้าสู่ระบบโดยใช้ชื่อผู้ใช้ และรหัสผ่านที่ถูกขโมยบนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มต่างๆ พยายามยัด [ข้อมูลประจำตัว] พร้อมกับรหัสผ่านทุกเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์ม

    วิธีการตรวจสอบ

    – ความผันผวนของทราฟฟิค
    – การพยายามเข้าสู่ระบบที่ล้มเหลวเพิ่มขึ้นผิดปกติ
    – จำนวนการเข้าสู่ระบบสูงขึ้น
    – ไม่มีข้อมูลประจำตัวที่รับรองความถูกต้อง
    – อัตราตีกลับสูงผิดปกติ
  5. การสุ่มข้อมูลรับรอง

    การเจาะเพื่อเอาข้อมูลรับรองมักถูกใช้โดยแฮกเกอร์ที่กำหนดเป้าหมายไปยังบริษัทใดบริษัทนึง อาชญากรไซเบอร์อาจเข้าถึงบัญชีของคุณโดยใช้วิธีเป็นการสุ่มเดา Password จากไฟล์ที่มีการรวบรวมคำศัพท์ต่างๆ ที่พบอยู่ใน Dictionary และเดา password ทุกความเป็นไปได้ของตัวอักษรในแต่ละหลัก

    วิธีการตรวจสอบ

    – การล็อคบัญชีพุ่งสูงขึ้น
    – จำนวนครั้งที่พยายามเข้าสู่ระบบล้มเหลวสูงผิดปกติ
    – การร้องเรียนของลูกค้าเกี่ยวกับกิจกรรมที่น่าสงสัย

ขั้นตอนการโจมตีเพื่อยึดบัญชีทำงานอย่างไร ?

การเข้ายึดบัญชีเป็นกระบวนการ แบ่งออกไปใน 6 ขั้นตอน

1. ปล่อยไวรัสสู่เป้าหมาย

การใช้เทคนิคทางจิตวิทยาสังคม เช่น สแปม ป๊อปอัป และอื่นๆ ปรับใช้มัลแวร์เพื่อปล่อยไวรัสไปยังเครื่องที่มีช่องโหว่

2. ขโมยข้อมูลสำคัญ
ใช้ประโยชน์จากช่องว่างด้านความปลอดภัยขโมยข้อมูลรับรองการเข้าสู่ระบบ ตลอดจนข้อมูลระบุตัวบุคคล (PII) ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ

3. ขายข้อมูล หรือนำไปโจมตี
ขายข้อมูลประจำตัวที่ถูกขโมยบน Dark Web เพื่อผลกำไร หรือเก็บไว้นำไปโจมตีต่อด้วยตนเอง

4 ตรวจสอบความถูกต้อง
ผู้โจมตีตรวจสอบข้อมูลประจำตัวที่ขโมย เพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้องสามารถนำไปใช้สำหรับกาโจมตีเพื่อยึดบัญชีได้

5 การสังเกต
ผู้โจมตีจะตรวจสอบกิจกรรมในบัญชีที่เจาะเข้าไป เพื่อเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการโจมตี

6 ดำเนินการโจมตี
ในที่สุดแฮกเกอร์ก็เริ่มทำการโจมตีเช่น การชำระเงินปลอมๆ การช็อปปิ้งออนไลน์ที่ผิดกฎหมาย หรือการเรียกเงินจากเหยื่อ

บัญชีออนไลน์ของคุณยังปลอดภัยอยู่หรือไม่ ?

วิธีการป้องกันการโจมตีบัญชีออนไลน์

1. ใช้ Filter DNS กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานทั้งหมด

ไม่ว่ารหัสผ่านของบริษัทของคุณจะแข็งแกร่งเพียงใด ผู้โจมตียังสามารถหาทางเจาะเข้าสินทรัพย์ทางการเงินของคุณ หากระบบของคุณไม่ได้รับการปกป้องที่ระดับชื่อโดเมน วิธีการเเจาะเข้าบัญชีส่วนใหญ่มีโอกาสสำเร็จสูงหาก DNS ไม่ปลอดภัย

Heimdal Threat Prevention เป็นกลไกที่ทำหน้าที่กรองแพ็กเก็ตเครือข่ายทั้งหมดจากต้นทางไปจนถึงปลายทาง DNS ดังนั้นจึงหยุดการโจมตีแบบวิธีคนกลางอย่างได้ผล หาช่องโหว่แบบ zero-hour และป้องกันการสูญหายของข้อมูลและการขโมยข้อมูล

นอกจากนี้ยังมี Heimdal Threat Prevention Network ซึ่งเป็นโซลูชันที่เราพัฒนาขึ้นเพื่อรับรองความปลอดภัยของเครือข่ายในขอบเขตออนไลน์

2. ใช้การยืนยันตัวตนแบบสองชั้น

การยืนยันตัวตนแบบสองชั้นช่วยเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยเมื่อลงชื่อเข้าใช้บัญชี การยืนยันตัวตนแบบสอง ประกอบด้วย:

  • สมาร์ทโฟนหรือโทเค็น
  • ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น รหัส PIN หรือคำตอบสำหรับคำถามเพื่อความปลอดภัยที่เป็นความลับ
  • ข้อมูลไบโอเมตริกซ์ เช่น การจดจำใบหน้า เสียงร้อง หรือลายนิ้วมือ

3. มีการบริหารจัดการแพทช์

ซอฟต์แวร์ที่ไม่มีการอัปเดต และไม่ได้รับการแพตช์ถือเป็นความรับผิดชอบสำคัญขององค์กรคุณ แพตช์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสมบูรณ์ของระบบที่ใช้งาน นี่คือเหตุผลที่ Heimdal Security ได้รวม Patch & Asset Management ซึ่งเป็นระบบที่ปรับใช้การอัปเดตและแพตช์โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะเป็นการปิดช่องว่างด้านความปลอดภัยในเครือข่ายขององค์กรของคุณ ยิ่งไปกว่านั้น การติดตั้งยังสามารถกำหนดตารางเวลาได้ตามความสะดวกของพนักงานของคุณ

หากท่านสนใจทดลองใช้สามารถลงทะเบียนเพื่อขอทดลองได้ฟรี 30 วัน

4. อบรมพนักงานของคุณเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์

การจัดการข้อมูลประจำตัวที่ดี คือแนวป้องกันแรกของบริษัทของคุณในการเผชิญกับการเจาะเข้าบัญชีดังนั้น คุณต้องให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับวิธีสร้าง และรักษารหัสผ่านที่รัดกุม รหัสผ่านที่รัดกุมมีทั้งตัวพิมพ์เล็ก ตัวพิมพ์ใหญ่ มีอักขระที่เป็นตัวอักษรและตัวเลขคละกัน ไม่มี PII ที่เดาได้ง่าย และมีการเปลี่ยนแปลงรหัสอยู่เป็นระยะ

5. มีการติดตั้งบัญชีแซนด์บ็อกซ์

คุณต้องรู้ว่าต้องทำอย่างไรเมื่อมีการเจาะบัญชี หากคุณพิจารณาว่ามีบัญชีต้องสงสัย ควรใส่ไว้ในแซนด์บ็อกซ์เพื่อตรวจสอบกิจกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับบัญชีนี้ หากพบสิ่งน่าสงสัยสามารถเลือกบล็อกบัญชี ซึ่งจะช่วยจำกัดความเสียหายไม่ให้แพร่กระจายไปยังเครือข่ายเพิ่มเติม

6. สร้างรายการบล็อก IP

การพยายามเข้าสู่ระบบจากที่อยู่ IP เดียวเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่ามีคนพยายามโจมตีเพื่อเดาข้อมูลรับรอง นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่แฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำนี้จะใช้ข้อมูลประจำตัวที่ถูกขโมยเพื่อให้เข้าถึงบัญชีได้ สิ่งที่สามารถป้องกันกิจกรรมที่เป็นอันตรายนี้คือการสร้างรายการบล็อก IP เมื่อตรวจพบกิจกรรมที่น่าสงสัย

7. จำกัดการพยายามเข้าสู่ระบบ

คุณควรจำกัดการพยายามเข้าสู่ระบบสำหรับบัญชีไม่ให้เกินกี่ครั้ง เพื่อป้องกันการเจาะเข้าบัญชี นี่เป็นเทคนิคที่ทำงานโดยเฉพาะกับการป้องกันสแปมบอท

8. ใช้ Privileged Access Management

เครื่องมือ PAM จะจำกัดเวลาที่ผู้ใช้จะมีสิทธิ์ในการเข้าถึง ที่การเข้าถึงนี้จะได้รับให้กับพวกเขาเพียงเพื่อทำงานเฉพาะให้เสร็จสิ้นและจำกัดบางพื้นที่ที่ใช้ดังนั้นหลักการของสิทธิ์น้อยที่สุด การควบคุมบัญชีที่มีสิทธิพิเศษอย่างต่อเนื่องและเข้มงวดเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดเมื่อต้องการหยุดแฮกเกอร์ไม่ให้เข้ายึดบัญชีที่มีสิทธิพิเศษ

Credit https://heimdalsecurity.com/

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *